ไขมัน vs ฟิลเลอร์ (ฉีดอันไหนดี)
sep 8, 2016 | som

เมื่ออายุเริ่มเพิ่มขึ้น บวกกับไขมันบนใบหน้าเริ่มลดน้อยลง จะยิ่งทำให้บริเวณขมับ ใต้ตา แก้ม แล ดูตอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้เบ้าตาดูลึก กระดูกช่วงโหนกแก้มยื่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ภาพลักษณ์เปลี่ยนแปลงไป และยิ่งผิวไม่ยืดหยุ่นด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้ใบหน้าดูแก่มากยิ่งขึ้น แก้ไขได้โดยการฉีดไขมันเพื่อเติมเต็ม เป็นวิธีที่ปลอดภัย และธรรมชาติ
ตำแหน่งที่สามารถฉีดไขมันได้
1. หน้าผากและรอยย่นหน้าผาก
2. รอยขมวดคิ้ว
3. หว่างคิ้ว
4. ขมับ
5. เปลือกตา
6. ใต้ตา
7. จมูก
8. ร่องแก้ม
9. แก้ม
10. ริมฝีปาก
11. คาง
12. ริ้วรอยแผลเป็นตื้นขึ้น
13. แก้รูขุมขนกว้าง

การฉีดไขมันสามารถทำให้ใบหน้าดูมีโวลุ่ม และอ่อนหวานยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ดีการดูแลหลังผ่าตัดก็ สำคัญมากด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่น หากฉีดไขมันที่หน้าผาก การใส่หมวกแน่นหรือบีบรัด จะทำให้บริเวณที่ผ่าตัดผิวไม่เรียบ ไม่สม่ำเสมอต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก และช่วง 1~2 เดือนแรกไม่ควรกดหรือนวดจุดที่ฉีดไขมันและบริเวณโดยรอบ

หมายเหตุ: ภาพ before/after ผลลัพธ์อา จเปลี่ยนแปลงในแต่ละบุคคลแตกต่างกัน
ข้อดีของการฉีดไขมัน
-
ไขมันบางส่วนที่ถูกฉีดเข้าไปจะคงอยู่ถาวร และสลายตัวเพียงบางส่วนเท่านั้น
-
ไขมันที่ถูกฉีดเข้าไป ร่างกายจะตอบรับได้ดีไม่เกิดการต่อต้าน เพราะเป็นไขมันของตัวเอง ทำให้คนไข้ไม่เกิดอาการแพ้
-
อัตราความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นน้อยกว่า การฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว
-
มีความเสี่ยงน้อยมาก

หมายเหตุ: ภาพ before/after ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงในแต่ละบุคคลแตกต่างกัน
หลักการของการฉีดไขมัน คือ การเติมเต็มส่วนต่างๆของร่างกาย คล้ายการรักษาด้วยฟิลเลอร์ หรือการเสริมส่วนต่างๆของร่างกายด้วยซิลิโคน ซึ่งปัจจุบันเทคนิคการฉีดไขมันเริ่มเป็นที่นิยม และมาแทนที่การฉีดฟิลเลอร์ หรือการเสริมซิลิโคนมากขึ้น เพราะเป็นเทคนิคที่ปลอดภัยกว่า อยู่ได้นานกว่า และมีปัญหาแทรกซ้อนน้อยกว่าการฉีดฟิลเลอร์


หมายเหตุ: ภาพ before/after การฉีดไขมัน ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงในแต่ละบุคคลแตกต่างกัน
Filler คืออะไร
ฟิลเลอร์ คือ สาร เติมเต็มที่ใช้สำหรับฉีดเพื่อเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวหนัง ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะใช้ฟิลเลอร์เพื่อลดและแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึก ที่เกิดขึ้นบริเวณต่างๆของใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น หน้าผาก ริ้วรอยร่องลึกรอบดวงตา ริ้วรอยร่องลึกมุมปาก และยังสามารถนำมาช่วยในการแก้ไขปรับแต่งรูปหน้าได้อีกด้วย เช่น เติมริมฝีปาก ร่องแก้ม และในบางรายที่เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นทำให้แก้มดูตอบลงก็สามารถใช้ฟิลเลอร์ ในการแก้ปัญหาแก้มตอบได้ แม้กระทั่งนำมาใช้ในการบำรุงผิวให้กลับมากระชับเปล่งปลั่ง ในบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ รวมทั้งบริเวณผิวหน้าอก
ประเภทของฟิลเลอร์
ในปัจจุบันมักทราบกันดีแล้วว่า Filler คืออะไร แต่มักสับสนระหว่างโบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ ให้จำง่ายๆว่าฟิลเลอร์คือสารเติมเต็ม สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
1.แบบชั่วคราว (Temporary Filler) จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 4-6 เดือน มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และยังสามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
2.แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler) แบบนี้จะมีอายุยาวกว่าแบบแรก สามารถอยู่ได้นานประมาณ 2 ปี มีความปลอดภัยในระดับปานกลาง
3.แบบถาวร (Permanent Filler) จะ เป็นสารเติมเต็มจำพวก ซิลิโคน หรือ พาราฟิน หลังฉีดไปแล้วจะสามารถอยู่ในผิวไปได้ตลอดไม่สลายไปตามธรรมชาติแต่ก็อาจมีผล ข้างเคียงในระยะยาว
ทำไมต้องฉีดฟิลเลอร์
พอจะทราบกันไปแล้วว่า Filler คืออะไร ทีนี้มาดูว่าทำให้ต้องฉีดฟิลเลอร์ เหตุผลคือผิวหนังของคนเราจะมีส่วนประกอบสำคัญคือใยคอลลาเจน และเมื่อเราอายุมากขึ้นใยคอลลาเจนในผิวหนังก็ฝ่อลง ทำให้ผิวที่เคยอิ่มน้ำ เต่งตึง กลายมาเป็นมีริ้วรอยร่องลึก ผิวหนังบางลง หากได้รับฟิลเลอร์ คือสาร เติมเต็มที่มีส่วนประกอบของไฮยาลูรอนิคเข้าไป ก็จะช่วยให้ผิวพรรณดูดีขึ้น จากที่เคยมีร่องลึกก็จะดูตื้นขึ้น เพราะการฉีดฟิลเลอร์จะสามารถช่วยเติมเต็มใยคอลลาเจนที่หายไป ทำให้สภาพผิวดูเต่งตึงขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นลดริ้วรอยหรือปรับแต่งรูปหน้าด้วยฟิลเลอร์นั้น โดยทั่วไปแพทย์ใช้เวลาในการฉีดประมาณ 15-30 นาที โดยจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย ในบางรายอาจมีอาการเจ็บ บวม ปวด คัน แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-2 วัน หลังจากฉีดเสร็จแพทย์จะให้คุณนอนราบสักครู่เพื่อให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป เซ็ตตัว หลังจากนั้นก็สามารถกลับบ้านได้ตามปกติ และเนื่องจากฟิลเลอร์ คือสารเติมเต็มที่ใช้ง่าย ไม่เจ็บตัวมาก ไม่ต้องพักฟื้น จึงทำให้ดารา พริตตี้ รวมถึงสาวๆทั่วไปนิยมฉีดฟิลเลอร์กัน
ต้องฉีดฟิลเลอร์แค่ไหน จึงจะเห็นผล
หลังจากฉีดสารฟิลเลอร์เข้าไปอยู่ ในตำแหน่งที่ต้องการแล้วก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที แต่แพทย์มักจะให้รอดูผลลัพธ์ประมาณวันที่ 5 เพราะตอนนั้นน้ำที่บวมอยู่ก็จะหมดไปแล้ว หากยังต้องแต่งเติมตรงไหนก็สามารถทำเพิ่มได้ ทั้งนี้ โดยส่วนมากผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 6 เดือนหลังจากฉีด (ฉีดชนิดแบบชั่วคราว) จะมากหรือน้อยขึ้นกับร่างกายของแต่ละคนและบริเวณที่ฉีด หากกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวมากสารมักสลายหมดลงก่อนบริเวณอื่น

ข้อดีของการฉีดไขมัน เมื่อเทียบกับการฉีดฟิลเลอร์
-
ไขมันที่เติมเต็มช่วยเพิ่มความอ่อนเยาว์ของใบหน้า ช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสขึ้น ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ ลดรอยดำคล้ำจากผิวหนังที่บางบริเวณใต้ตา และนอกจากนี้ไขมันที่ฉีดช่วยให้มอง เห็นรอยเส้นเลือดใต้ผิวหนังน้อยลง เนื่องจากตัวไขมันมีสีเหลืองนวลทำให้ชั้นใต้ผิวหนังหนาขึ้นอย่างเป็น ธรรมชาติ ในขณะที่การฉีดฟิลเลอร์ซึ่งมีลักษณะเป็นเจลใสไม่มีสีใดๆ แม้จะเติมเต็มใต้ผิวหนังแต่ก็ไม่ได้ช่วยลดรอยดำคล้ำ หรือรอยเส้นเลือดได้ดี เท่าการฉีดไขมัน
-
การฉีดเติมไขมันจะใช้เป็นเซลล์ไขมันจากร่างกายตัวเองที่ยังคงมีชีวิต อยู่ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เข้ากันได้กับร่างกายได้ดีที่สุด ไม่ใช่สารแปลกปลอมเหมือนการฉีดฟิลเลอร์สารเติมเต็ม หรือไขมันเทียมใดๆ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีปัญหาบวมแดง อาการแพ้ หรืออักเสบจากการต่อต้านสารแปลกปลอมของร่างกายตามมาเหมือนกับที่พบได้บ่อย จากการฉีดสารเติมเต็มอื่นๆ
-
ไขมันที่ฉีดเข้าไปแล้วได้เลือดมาเลี้ยงอย่างเหมาะสมจะกลมกลืนไปกับเนื้อ เยื่อบริเวณนั้น และติดทนนานตลอดไป ไม่สลายไปจนหมดเหมือนการฉีดฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็มอย่างอื่น
-
เป็นการลดไขมันออกจากส่วนเกินของร่างกายเช่นหน้าท้อง หรือต้นขา แล้วนำไขมันกลับมาใช้ประโยชน์ถือเป็นการผ่าตัดเพียงครั้งเดียวแต่ได้ ประโยชน์ถึงสองบริเวณ
-
โดยทั่วไปในปริมาณการฉีดที่เท่ากัน การฉีดไขมันราคาถูกกว่าการฉีดสารเติมเต็มที่สังเคราะห์ขึ้น (เทียบเป็นซีซี) และนอกจากนี้ยังไม่ต้องกลับมาฉีดซ้ำบ่อยๆทุก6-8 เดือน เหมือนการฉีดฟิลเลอร์ซึ่งสลายไปแล้วต้องคอยกลับมาเติมเป็นระยะๆ
สนใจสอบถามได้ที่ STM Style โทร. 02-714-7663 , 02-714-7665
E-Mail: stmstyle@gmail.com
Facebook: https://www.facebook.com/STMstyle
Live Chat : www.stmstyle.com
Line Official : http://line.me/ti/p/@stmstyle
